วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560


เทคโนโลยี

ผลภาพสำหรับความหมายของเทคโนโลยี






ความหมายของเทคโนโลยี
      เทคโนโลยี  หมายถึง  การนำความรู้ทางธรรมชาติวิทยาและต่อเนื่องมาถึงวิทยาศาสตร์ มาเป็นวิธีการปฏิบัติและประยุกต์ใช้เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ อันก่อให้เกิดวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ความรู้นามธรรมเช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น 
ความสำคัญของเทคโนโลยี
1.เป็นพื้นฐานปัจจัยจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ 
2.เป็นปัจจัยหลักที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา 
3.เป็นเรื่องราวของมนุษย์ และธรรมชาติ 
       ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นจนสามารถสร้าง นวัตกรรม (Innovation) ซึ่งก็คือ การเรียนรู้ การผลิตและ การใช้ประโยชน์จากความคิดใหม่  ให้เกิดผลทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง  สิ่งแวดล้อม  และวัฒนธรรม  เทคโนโลยีทำให้สังคมโลกที่เรียบง่าย กลายเป็นสังคมที่มีการดำรงชีวิตที่สลับซับซ้อนมากขึ้น  ก่อให้เกิดกระแสแห่งความไร้พรมแดน  หรือกระแสโลกาภิวัฒน์ ที่เข้ามาสู่ทุกประเทศอย่างรวดเร็ว  จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ อันเป็นการผสมผสาน 4 ศาสตร์ เข้าด้วยกันได้แก่ อิเล็อทรอนิกส์  โทรคมนาคม  และข่าวสาร  (Electronics , Computer ,Telecomunication and Information หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ECTI ) ทำให้สังคมโลกสามารถสื่อสารกันได้ทุกแห่งทั่วโลกอย่างรวดเร็ว  สามารถรับรู้ข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่าง  ๆ ได้พร้อมกัน  สามารถบริหารจัดการและตัดสินใจได้ทุกขณะเวลา การลงทุนค้าขาย และธุรกรรมการเงินทได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเทคโนโลยีกำลังทำโลกใบนี้ “เล็กลง” ทุกขณะ
ประโยชน์ของเทคโนโลยี
-ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ แถมยังช่วยพัฒนาระบบอารายธรรมโดยทางอ้อมอีกด้วย
เรื่องราวจากการเริ่มต้นเทคโนโลยี ยาวนานจนบัดนี้ทำให้มนุษย์เราแทบไม่สามารถแยกจากเทคโนโลยีไปได้แล้ว
-ช่วยให้มนุษย์มีความสะดวกสบายขึ้น
-ช่วยให้เราทันสมัย
-ช่วยประหยัดเวลา
-ช่วยในการทำงาน
โทษของเทคโนโลยี
     เทคโนโลยีถือได้ว่ามีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์มากไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนการสอน  การทำงานต่างๆ  และการติดต่อสื่อสารซึ่งถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง   แต่ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักใช้ก็จะมีโทษต่อมนุษย์เช่นกันเช่นมีผลทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและอาจทำให้มนุษย์ขี้เกียจทำงานมากขึ้นเพราะอันเนื่องมาจากความสะดวก  สบายรวดเร็วเกินไป


ผลภาพสำหรับความหมายของเทคโนโลยี 

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

งานคาร์นิวัล (Carnival) 

*กรุงรีโอเดจาเนโร (Rio de Janero) ประเทศบราซิล

งานคาร์นิวัล (Carnival) กรุงรีโอเดจาเนโร (Rio de Janero) ประเทศบราซิล
  งานคาร์นิวัลแห่งเมืองรีโอคืองานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของโลกแล้ว จิตวิญญาณแห่งแซมบ้าอันเป็นตำนานของบราซิลสะท้อนออกมาได้เยี่ยมยอดที่สุดผ่านวงดนตรีในขบวนพาเหรดที่นำโดยมือกลองและนักร้อง โดยมีส่วนที่สำคัญที่สุดของงาน คือการแสดงของโรงเรียนสอนเต้นแซมบ้าในแซมบ้าโดรม (Sambadrome)


                             https://www.youtube.com/watch?v=f5SagcKI_FQ

   เราจะได้สัมผัส ริโอ คาร์นิวัล ของบราซิลซึ่งถือเป็นเทศกาลคาร์นิวัลที่ดังที่สุดในโลก  มีขบวนพาเหรดอันหน้าตื่นตาตื่นใจที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้มาเที่ยว บราซิล โดยจะจัดอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีสำหรับปี 2014 จะจัดตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป


การจัดงานคาร์นิวัล เช่น อินโดนีเซีย อินเดียและญี่ปุ่น สำหรับกำหนดวันจัดงานจะแตกต่างกันไปตามความต้องการของแต่ละเมือง ...สัญลักษณ์ของงานคาร์นิวัลที่เห็นได้ชัดเจน คือ การแต่งกายของผู้ร่วมเดินขบวนพาเหรด
ด้วยชุดแฟนซีสีสันฉูดฉาดสวยงาม ผู้ร่วมเดินขบวนพาเหรดจะเดินเป็นทีมไปตามท้องถนนที่กำหนด
และมีผู้เฝ้ารอชมตลอดสองข้างทาง ... งานคาร์นิวัลที่มีชื่อเสียงของโลก เช่น Carnival in Italy และ Brazilian Carnival โดยเฉพาะคาร์นิวัล ที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร ได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองหลวงแห่งเทศกาลคาร์นิวัลของโลก และเป็นประเพณีที่จะต้องมีการจัดเทศกาลนี้ขึ้นทุกปี


      The Carnaval in Rio de Janeiro หรือ Rio Carnival ระยะเวลาการจัด 5 วัน ก่อนจะเริ่มเทศกาลมหาพรต (Lent) ของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ในวันพุธ(Ash Wednesday) สำหรับปี 2013 งานคาร์นิวัล เริ่มงานตั้งแต่วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ ถึงวันอังคารที่12 กุมภาพันธ์ 2013 โดยหลังงานเทศกาลชาวคริสต์ทุกคนถูกคาดหวังให้ละเว้นจากความสุขทางกาย หรือเป็นช่วงถือศีลอด เป็นเวลา 40 วัน อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสนุกสุดเหวี่ยงในงานคาร์นิวัลแล้วบอกลาต่อความสุขจากเนื้อหนังมังสาก็ว่าได้ ...จุดสำคัญที่สุดของงานเทศกาลอยู่ที่การแข่งขันเต้นระบำแซมบ้าของโรงเรียนสอนเต้นแถวหน้าของบราซิล 12 แห่ง ซึ่งจะมาประชันกัน ปีละครั้ง ทั้งลีลาท่าเต้นความเริดหรูอลังการของเสื้อผ้า หน้า-ผม ความคิดสร้างสรรค์และความงดงามของขบวนรถแห่ ณ สนามกีฬาแซมโบโดรม ...งานริโอ คาร์นิวัล ในปี 2013 มีนักแสดงและแดนเซอร์จาก 492 คณะ มีผู้ชมทั้งชาวบราซิลเลียนและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกไปชุมนุมกันนับ ล้านคน

      ทราบว่าในบางปี มีทีมแดนเซอร์จากเมืองพัทยา ประเทศไทย บินไปร่วมขบวนพาเหรดด้วย จขบ.เคยอ่านเจอจากกระทู้ในพันทิปผู้ตั้งกระทู้ซึ่งร่วมเดินทางไปกับคณะพาเหรดบอกว่า กว่าจะเสร็จงานนี้ ขอบอกว่าแทบเดินไม่ไหว เพราะขบวนทั้งหมดยาวมากๆ เสื้อผ้าและอุปกรณ์จากเมืองไทยที่นำไปโชว์ จัดหนัก จัดเต็ม ไม่ยอมแพ้ใครอยู่แล้ว ทีนี้กว่าจะถึงลำดับคิวที่คนไทยจะได้แสดง ก็ต้องยืนรอ พร้อมเสื้อผ้า ชฎาที่หนัก นานหลายชั่วโมง รองเท้าที่เตรียมไปของทุกคนก็สูงปรี๊ด แต่งานนี้ ประสบการณ์ที่ได้รับ ล้ำค่า ได้รับการถ่ายรูปราวกับเป็นดาราผู้ยิ่งใหญ่ ... ริโอ คาร์นิวัลไม่ได้เป็นเพียงงานคาร์นิวัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากแต่ยังเป็นมาตรฐานให้งานคาร์นิวัลอื่นๆ ของทุกประเทศในโลก เปรียบเทียบเมื่อมีการจัดงานในแต่ละปีรวมทั้งยังเป็นหนึ่งในงานแสดงผลงานด้านศิลปะที่มีชีวิต ที่น่าสนใจที่สุดของโลกอีกด้วย


        A beautiful show takes place in Rio Carnival, with samba schools parading in the Sambadrome. Called "One of the biggest shows of the Earth", the festival attracts millions of tourists, both Brazilians and foreigners who come from everywhere to participate and enjoy the great show. Samba Schools are large, social entities with thousands of members and a theme for their song and parade. Some of the most famous samba-schools include GRES Estação Primeira de Mangueira, GRES Portela, GRES Imperatriz Leopoldinense, GRES Beija-Flor de Nilópolis, GRES Mocidade Independente de Padre Miguel, and recently, Unidos da Tijuca and GRES União da Ilha do Governador Local touristsare allowed to participate, paying ($500–950), depending on the costume, to buy a Samba costume and dance in the parade through the Sambadromewith one of the schools.
The price paid is used to buy the tourist's own costume and also the costumes of the people who do not have the money to afford it.The Rio and Brazilian Carnival, is going "global" as a recent article by "Market Watch / The Wall Street Journal".which explained how the Carnival industry chain amassed in 2012 almost US$1 billion in revenues.





สามารถรับชมวีดีโอได้ที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=yyswim&month=28-08-2013&group=23&gblo


วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560

คริสต์มาส





Chritsmas




https://www.youtube.com/watch?v=ImuBduFPldI&list=PLdMcfOoy2wvFRboF4KOFRBe4lb9_xAvRN



คริสต์มาส ประวัติเป็นมาอย่างไร ซานตาคลอส เกี่ยวข้องอะไรในวันคริสต์มาส เรามีข้อมูลมาฝากค่ะ 

         ถึงช่วงปลายปีทีไร ชาวไทยเราก็มีเรื่องฉลองอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่หรือวันคริสต์มาส
 ที่กำลังจะเข้ามาถึง แม้ว่าวันคริสต์มาสนี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธสักเท่าไร แต่ก็มีคนไทยบางคนที่นับถือศาสนาคริสต์อยู่จำนวนไม่น้อย ว่าแต่ประวัติคริสต์มาสเป็นมาอย่างไร วันนี้เรามีข้อมูลมาฝาก 

ตำนานวันคริสต์มาส

          คำว่า
 "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

         
 เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบธเลเฮมและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่าพระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ
 "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญต่อชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

ซานตาคลอส
          เป็นสิ่งแรก ๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลาส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาคลอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี

          นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็ก ๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคมเอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็ก ๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปีติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

ถุงเท้า

           จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง

ต้นคริสต์มาส

        
  นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก

          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็ก ๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส